เซ็กส์ในประวัติศาสตร์: คนโบราณมีเซ็กส์ยังไง?

เซ็กส์ในประวัติศาสตร์: คนโบราณมีเซ็กส์ยังไง?

เรื่องบนเตียงของคนโบราณ น่าสนใจกว่าที่คิด

มนุษย์มีเพศสัมพันธ์มาตั้งแต่ยุคหิน แต่เรื่องของ เซ็กส์ในประวัติศาสตร์ มักถูกละเลยหรือไม่ค่อยถูกพูดถึงอย่างเปิดเผย ทั้งที่มันเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต ความเชื่อ และวัฒนธรรมของแต่ละยุคสมัย

คนโบราณมีทัศนคติต่อเรื่องเพศแบบไหน? มีพิธีกรรมทางเพศหรือไม่? หรือเรื่องบนเตียงของพวกเขาแตกต่างจากปัจจุบันยังไง? วันนี้จะพาย้อนเวลากลับไปสำรวจว่าคนสมัยก่อนมีเซ็กส์ยังไงบ้าง


1. อียิปต์โบราณ: เซ็กส์เป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์และเกี่ยวข้องกับเทพเจ้า

เรื่องที่น่าสนใจ

  • คนอียิปต์โบราณมองว่าเซ็กส์ไม่ใช่แค่เรื่องของความสุขทางกาย แต่ยังเป็น ส่วนหนึ่งของศาสนาและความเชื่อ
  • เทพเจ้าหลายองค์มีเรื่องราวเกี่ยวกับเพศ เช่น เทพโอซิริส (Osiris) ที่ถูกชำแหละร่าง และภรรยา ไอซิส (Isis) ต้องประกอบร่างใหม่เพื่อมีเซ็กส์และให้กำเนิดลูก
  • การช่วยตัวเองของเทพเจ้าถูกบันทึกในตำนาน เช่น เทพอาตุม (Atum) ที่ช่วยตัวเองเพื่อสร้างโลก

เรื่องบนเตียงของชาวอียิปต์

  • มีการใช้ น้ำมันหอมและน้ำมันหล่อลื่นจากพืช เพื่อเพิ่มความสุขทางเพศ
  • พบหลักฐานภาพวาดที่แสดงถึง การมีเพศสัมพันธ์แบบต่าง ๆ ในพีระมิด
  • ความสัมพันธ์แบบรักร่วมเพศและความสัมพันธ์เปิด (Open Relationship) ไม่ใช่เรื่องแปลก

2. กรีกโบราณ: เซ็กส์กับปรัชญาและความงามของร่างกาย

เรื่องที่น่าสนใจ

  • ชาวกรีกโบราณให้ความสำคัญกับร่างกายเป็นอย่างมาก เซ็กส์จึงเป็นทั้งเรื่องของ ศิลปะและวัฒนธรรม
  • การมีเซ็กส์ระหว่างชายกับชายถือเป็นเรื่องธรรมดา โดยเฉพาะในหมู่ชนชั้นสูงและนักรบ
  • เซ็กส์ไม่ได้ถูกจำกัดเฉพาะเพื่อการสืบพันธุ์ แต่เป็นเรื่องของความสุขและความสัมพันธ์

เรื่องบนเตียงของชาวกรีก

  • มี ซ่องโสเภณีที่ถูกกฎหมาย และโสเภณีบางกลุ่มมีสถานะสูงในสังคม
  • มีการใช้ของเล่นทางเพศ เช่น ดิลโด้ทำจากดินเผาหรือหนังสัตว์
  • งานเลี้ยงของชนชั้นสูงมักเกี่ยวข้องกับ เซ็กส์ หมู่ และการดื่มไวน์

3. จีนโบราณ: เซ็กส์กับพลังชีวิตและการแพทย์แผนจีน

เรื่องที่น่าสนใจ

  • ตามหลักปรัชญาเต๋า เชื่อว่าเซ็กส์เป็น การแลกเปลี่ยนพลังงาน (หยิน-หยาง)
  • ผู้ชายถูกสอนว่าไม่ควรหลั่งน้ำอสุจิออกมาบ่อยเกินไป เพราะถือว่าเป็นการสูญเสียพลังชีวิต
  • หนังสือ “ตำรากามสูตรของจีน” หรือ “ตำราหยก” บันทึกเทคนิคเซ็กส์และการใช้พลังทางเพศ

เรื่องบนเตียงของชาวจีนโบราณ

  • ชนชั้นสูงมักมี นางสนมจำนวนมาก และมีระบบการเลือกสรรเพื่อให้จักรพรรดิได้มีทายาท
  • มีการใช้ สมุนไพรและอาหารบำรุงพลังทางเพศ เช่น โสม หรือ เขากวางอ่อน
  • การฝึก เซ็กส์แบบเต๋า เชื่อว่าช่วยยืดอายุและทำให้สุขภาพดีขึ้น

4. อินเดียโบราณ: เซ็กส์เป็นศิลปะและปรัชญาชีวิต

เรื่องที่น่าสนใจ

  • หนังสือ “กามสูตร” (Kamasutra) ไม่ได้เป็นแค่ตำราท่วงท่าทางเพศ แต่ยังพูดถึง ความรัก ศีลธรรม และการใช้ชีวิต
  • เชื่อว่าเซ็กส์ที่ดีเป็นส่วนหนึ่งของ ความสมดุลในชีวิตและจิตวิญญาณ
  • วัดบางแห่ง เช่น วัดคณารัก (Khajuraho) มีภาพแกะสลักที่แสดงถึงกิจกรรมทางเพศอย่างเปิดเผย

เรื่องบนเตียงของชาวอินเดียโบราณ

  • การฝึกโยคะบางประเภทเกี่ยวข้องกับ การเพิ่มพลังงานทางเพศ
  • มีการใช้ น้ำมันและเครื่องหอม เพื่อสร้างบรรยากาศโรแมนติก
  • ท่วงท่าในกามสูตรมีมากมายและถูกออกแบบเพื่อเพิ่มความสุขของทั้งสองฝ่าย

5. ยุคกลางยุโรป: ศาสนาเข้ามาควบคุมเรื่องเพศ

เรื่องที่น่าสนใจ

  • ศาสนาคริสต์ในยุคกลางมองว่าเซ็กส์เป็น สิ่งที่ควรทำเพื่อการมีบุตรเท่านั้น
  • มีข้อห้ามเกี่ยวกับท่วงท่าบางอย่าง เช่น “มิชชันนารี” ถือเป็นท่าที่เหมาะสมที่สุด
  • การช่วยตัวเองและความสัมพันธ์เพศเดียวกันถูกมองว่าเป็นบาป

เรื่องบนเตียงของคนยุคกลาง

  • คนทั่วไปไม่มีความรู้เรื่องสุขอนามัยทางเพศมากนัก ทำให้เกิดโรคทางเพศสัมพันธ์แพร่หลาย
  • โสเภณีถูกมองว่าเป็นสิ่งจำเป็น แต่ก็ถูกควบคุมโดยโบสถ์
  • มีการใช้ “ยาเสน่ห์” และความเชื่อเรื่องเวทมนตร์เพื่อทำให้คนรักหลงใหล

6. ญี่ปุ่นโบราณ: เซ็กส์ ศิลปะ และซามูไร

เรื่องที่น่าสนใจ

  • วัฒนธรรมญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับ ศิลปะทางเพศ เช่น ภาพอุคิโยะ (Shunga) ซึ่งเป็นภาพวาดอีโรติก
  • เซ็กส์ในหมู่ซามูไรบางครั้งไม่ใช่แค่ชายกับหญิง แต่ยังรวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างชายกับชาย
  • มีบันทึกเกี่ยวกับ “Yujo” หรือหญิงงามเมืองที่มีสถานะสูง

เรื่องบนเตียงของชาวญี่ปุ่นโบราณ

  • มี “บ้านน้ำชา” ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับพบปะและมีความสัมพันธ์
  • มีการใช้ เครื่องรางนำโชคเกี่ยวกับเพศ เช่น หินรูปองคชาตเพื่อเสริมพลังชีวิต
  • หนังสือเกี่ยวกับศิลปะแห่งความรักมีบันทึกเรื่อง เทคนิคการเล้าโลมและการใช้เสียง เพื่อเพิ่มอรรถรส

สรูป: เรื่องเซ็กส์เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม

แม้ว่าแต่ละยุคจะมีแนวคิดเรื่องเพศที่แตกต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ เซ็กส์ไม่ได้เป็นเพียงแค่การสืบพันธุ์ แต่ยังเกี่ยวข้องกับความเชื่อ วัฒนธรรม และศิลปะ การศึกษาประวัติศาสตร์เรื่องนี้ช่วยให้เราเข้าใจว่าสังคมมองเรื่องเพศอย่างไร และพัฒนาไปในทิศทางไหน